บันทึกการเดินทางนี้ตั้งใจจะเขียนไปเรื่อยๆ เท่าที่นึกออก และเท่าที่อยากเขียนนะฮะ ถูกผิดอะไรไม่รู้ แต่พยายามเอาให้ถูกต้องละกัน
หวังว่าวันต่อๆ มาจะมีอารมณ์หรือมีเรื่องอะไรมาให้เขียนต่ออีกนะ กลัวใจจริงๆ ว่าจะเขียนวันเดียวแล้วจบ ฮ่าๆ
สรุปสำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านคนบ่นอะไรก็ไม่รู้…
หลังจาก ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ขายกิจการรายย่อยให้กับ ธ.ทิสโก้ ลูกค้าอย่างผมก็ต้องย้ายบัญชีตามไปกับเขาด้วย จะไปฝืนก็ไม่ได้หนะนะ
ไอ้เราก็ทำเรื่องอะไรเรียบร้อยตั้งแต่เดือนกันยา ได้สมุดบัญชี 2 เล่มของทิสโก้พร้อมบัตรเดบิต แต่ก็ยังต้องรอวันที่ 2 ตุลาถึงจะใช้งานอะไรได้
พอมาวันที่ 2 ตุลา ก็ไปที่ทิสโก้สาขาห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านสยาม (บอกชื่อไปเลยไหม!) ไปถึงประมาณทุ่มนิดๆ ตามคาด คนล้นออกมานอกสาขา (เพราะเป็นธนาคารเล็กๆ ที่นั่งไม่มากเท่าไหร่) แต่คิดว่าแค่มาปรับสมุดกับสมัคร Mobile Banking ไม่น่านาน เสร็จแล้วค่อยไปกินข้าว
แต่ระบบคิวชวนงงมาก เพราะทุกคิว ทุกธุรกรรม เรียกไปที่เคาท์เตอร์ 1-2 หมด อาจเข้าใจได้ว่าแบงก์ใกล้ปิดแล้วเลยเปิดแค่นั้น แต่โอ้โห พนักงานประมาณ 5-6 คน อยู่เคาท์เตอร์ 2 หน้าเคาท์เตอร์คอยเรียกคิวกับวิ่งไปมาอีก 2 ยืนกดมือถือตรงโต๊ะฝั่งเปิดบัญชีอีก 2 คน ทำงานก็แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ มาก ความกระตือรือล้นแทบเป็นศูนย์ ลูกค้าก็นั่งรอไป
ทุ่มครึ่งก็แล้ว ทุ่มสี่สิบห้าก็แล้ว สองทุ่มก็แล้ว คิวไม่มีวี่แววจะใกล้ เลยย้ายไปนั่งตรงโต๊ะฝั่งเปิดบัญชี พอสักสองทุ่มสิบกว่าๆ เหลือบไปเห็นที่โต๊ะมีคนถามว่าเปิด Mobile Banking ยังไง แล้วพนักงานก็ทำให้เลย เหลือบไปดูบัตรคิว อ้าว คิวหลังกูอีก 2-3 คิวเลยหนิ
ปรี๊ดแตกสิ รอมาเป็นชั่วโมง ข้าวก็ไม่ได้กิน แล้วคิวที่กดมาจะกดทำไม?
เลยถามพนักงานไปว่า “สมัคร Mobile Banking ไม่ต้องรอบัตรคิวเหรอ” (น้ำเสียงหงุดหงิด ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยหงุดหงิดใส่ชาวบ้านแบบต่อหน้านะ) พนักงานก็ตอบมาประมาณว่าคิวมันแยกออกจากกัน (อ้าว!?) แต่ก็สมัครได้เลย (ยังไง?) พนักงานก็ขอบัตรประชาชน (ไปสองคน แต่ขอคนเดียว เอาสิ) พร้อมสมุดบัญชีอีก 4 เล่ม (โดยไม่ถามอะไรสักคำ) แล้วก็เชิญไปที่เคาท์เตอร์ขวาสุดเพื่อนั่งรอต่อไป
สักพัก ก็เอาใบสมัครมาให้เซ็น แล้วก็ให้กรอกเบอร์มือถือ เลขบัตรประชาชน และเลขบัญชี…
แต่ สมุดบัญชีก็อยู่กับพนักงาน แถมเลขบัญชีทิสโก้ดันไม่เหมือนธนาคารหลักๆ ใครจะไปจำได้ล่ะ? พนักงานเลขเอาสมุดบัญชีมาให้กรอก แล้วก็บอกว่ารอรหัส OTP ที่จะส่งมาให้ แล้วก็หายไป…
สักพักพอประมาณ ค่อยมาถามว่าได้ OTP ยัง ให้เอาไปกรอกในแอพเพื่อลงทะเบียนเลย แหม่ ไม่บอกตอนรหัสหมดอายุเลยล่ะ? พอตอนสมัครก็ให้ใช้ User มีเลข Password มีอักขระพิเศษ แต่ในระบบไม่เห็นบอกเลย ทำไมต้องเชื่อพนักงานล่ะ? แล้วดันใช้ได้ด้วยนะ…
แล้วพอจะสมัครคนที่สองก็ต้องให้ถามว่าสมัครยังไง ค่อยขอบัตรประชาชนไปทำให้ (นี่ไม่คิดจะถามเลยสินะ) พอตอนรอ OTP รอซะนาน นานขนาดพนักงานมาถามรอบที่ 3 ถึงส่งมาให้
แล้วพนักงงานท่านก็เอาสมุดบัญชีไปดองไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ กว่าจะได้สมุดคืนจนออกจากธนาคาร ปาไปเกือบสองทุ่มครึ่ง…ชั่วโมงกว่าๆ ไม่ได้เหี้ยอะไรเลย ประทับใจสุดๆ พอดีกับ SCB ขยายวงเงินบัญชีออมทรัพย์อีซี่เป็น 2 แสนพอดี จะรอช้าอยู่ใย ย้ายสิฮะ!
บ่นแบบไม่รู้เรื่องมาตั้งนาน มาสรุปข้อสังเกตดีกว่า
สรุป ข้อเตือนใจสำคัญของเรื่องนี้ คือ เดินเข้าไปถามพนักงานเลยถ้ามันนานเกินควร และ อย่าไปทำธุรกรรมการเงินในวันแรกๆ
เพราะมันจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดแบบนี้แหละ!
ส่วนตอนนี้ก็ขอย้ายเงินออกไปก่อนนะจ๊ะ ไว้อารมณ์ดีๆ ค่อยกลับมาใหม่แล้วกันนะ
จั่วหัวแบบนี้ ไม่ได้มีปัญหาแบบว่าไปทำผู้หญิงท้องหรือว่ามีปัญหากับเด็กอะไรหรอกนะฮะ
แต่ช่วงสัปดาห์นี้ไม่รู้มีปัญหาอะไรกับลูกบิดประตูห้องนักหนา หาเรื่องเสียเงินได้บ่อยมากๆ
เริ่มตั้งแต่วันพุธปล่อยผีแล้ว กะว่าจะไปเอารางวัลที่ได้บัตรดูฟุตซอล (ปล.ฟุตซอลโลกไทยเป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ อย่าลืมไปดู) ที่อสมท. ก็กะว่ากลับห้องมาแล้วปั่นจักรยานไปเอาดีกว่า
โทรนัดเรียบร้อย แล้วก็ล็อกห้อง ปิดประตู
นึกขึ้นได้ “กูลืมเอากุญแจออกมา!”
ด้วยความเครียดบวกแค้น ทำอะไรไม่ถูก เลยบิดตัวลูกบิดมันซะ
บิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ได้ แถมดูท่ากลอนคงพังแหงๆ มันเริ่มงอแล้ว เปิดได้สักพักหยุดก่อนดีกว่า
ลงไปข้างล่างพร้อมโทรไปหาที่บ้านว่าเอายังไงดี ไอ้ครั้นจะจ้างช่างมาก็เสียตั้ง 500 ไม่คุ้มๆ (แล้วค่าลูกบิดใหม่ล่ะวะ?)
สุดท้าย กลับขึ้นห้อง บิดใหม่อีกรอบ สุดท้ายก็เข้ามาจนได้ (พร้อมกับเสียลูกบิดไป 1 อัน) แล้วก็ปั่นจักรยานไปเอาของอย่างสบายใจ…
วันเสาร์ ซื้อลูกบิดใหม่ (แต่รุ่นเก่า) เปลี่ยนเรียบร้อย ลั้นลาไปเรื่อยๆ
จนเริ่มค่ำกะว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย ติดต่อจองอะไรเรียบร้อย ก็หยิบกุญแจ (คราวนี้ไม่ลืมแล้วนะ) ล็อกห้อง ออกจากห้องไป
นึกขึ้นได้ เอาไฟท้ายมาชาร์จนี่หว่า ลืมหยิบออกมา กลับไปที่ห้องใหม่
อ้าวฉิบหาย เปิดห้องไม่ได้
นึกขึ้นได้ “นี่มันลูกกุญแจดอกเก่านี่หว่า” (คือเปลี่ยนลูกบิดใหม่แล้ว แต่ว่าลืมเอากุญแจจากลูกบิดใหม่ใส่ในพวง)
แต่คราวนี้เฉยๆ ล่ะ เริ่มมีประสบการณ์ (สดๆ ร้อนๆ ด้วย) ลงไปถามข้างล่างว่าช่างเขาพร้อมใหม่ (พร้อมตลอด 24 ชม.) โอเค ไปกินข้าวก่อนก็ได้ กลับมาค่อยโทรเรียกช่างมา
กลับมาเกือบๆ เที่ยงคืน โทรตามช่างมา มาถึงเกือบๆ เที่ยงคืนครึ่ง
แล้วช่างก็ลงมือสะเดาะลูกบิดเจ้าปัญหา (ที่ยังใหม่และซิงมาก ยังไม่เคยโดนเสียบด้วยซ้ำ ซิงจริงๆ)
15 นาทีผ่านไป…30 นาทีผ่านไป,,,1 ชั่วโมงผ่านไป ก็ยังไม่มีวี่แววจะเปิดออกได้
เข็มสั้นไปถึงเลข 2 ช่างพูดออกมาสั้นๆ “ยอม” เลยเข้าไปจัดการซะ บิดแรงๆ ไป 1 ที ประตูสวรรค์ก็เปิดออกแล้ว…
กูต้องซื้อลูกบิดใหม่อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย…
ปล.แต่ต้องของคุณพี่ช่างมากนะครับ มาไกลจากปากน้ำเลย แถมไม่คิดเงินด้วย (ดีๆ นึกว่าจะได้เสีย 2 ต่อ)
ปล2.ลูกบิด (เขาควาย) ตัวนี้ดีมากนะครับ พิสูจน์ได้แล้วว่าทนต่อการงัดแงะมาก ช่างยังต้องยอม
แต่ว่า มันไม่ทนต่อการใช้กำลังกับมันเลยนะฮะ บิดไม่ถึง 2 นาทีมันก็พังแล้ว
ตกลงว่ามันดีหรือมันไม่ดีกันแน่วะเนี่ย…
Tags: ลูกบิด
เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จัก ME by TMB บริการบัญชีเงินฝากรูปแบบใหม่แล้วนะครับ
ถ้ายังไม่ทราบ หลักการคือเป็นบัญชีที่ไม่มีสมุด ไม่สามารถทำรายการเคาท์เตอร์ได้ ไม่สามารถถอนเงินสดจากบัญชีตรงๆ ได้ เวลาทำรายการทำผ่านเครื่องหรือออนไลน์ทั้งหมด (มีโทรศัพท์ด้วย)
ทีนี้เวลาจะทำการเปิดบัญชี ก็ต้องมีสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารใดก็ได้มาผูกกับบัญชีนี้ เพื่อใช้สำหรับโอนเงินเข้า-ออกจากบัญชี
ปัญหาคือเขาต้องการสมุดบัญชีเงินฝากนะสิ (ถึงแม้ภายหลังจะเพิ่ม Statement ด้วย) ถ้าบัญชีไม่มีสมุดล่ะ?
(ขณะเริ่มเขียนเป็นเวลา 23:04 บนถนนพหลโยธิน เขตจังหวัดนครสวรรค์)
ผมกำลังเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยรถทัวร์…
นี่คงเป็นการนั่งรถทัวร์ขึ้นจังหวัดทางภาคเหนือเป็นครั้งแรกในชีวิต…
แน่นอน อะไรที่เป็นครั้งแรกมันน่าสนใจเสมอ (แต่ไม่รู้ว่า บางอย่างครั้งแรกมันน่าสนใจหรือเปล่านะ ไม่เคยลอง ฮ่า)
ปกติเวลาเดินทางทางรถยนต์ ผมชอบที่จะนั่งหน้าเสมอครับ
อาจด้วยเหตุผลที่ป้องกันการเมารถส่วนนึง (ไม่รู้มันช่วยหรือเปล่า) แต่อีกเหตุผลคือมันได้ดูเส้นทางต่างๆ ที่ผ่านด้วย
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลของอะไรเหมือนกัน เหอะๆ
ตอนเด็กๆ เวลาเข้ากรุงเทพฯ ก็จะสนุกกับการดูบรรยากาศสองข้างทางถนนมิตรภาพ
มีคนบอกว่าถ้าใกล้จะถึงจุดหมายเมื่อไหร่ ดูจากไอ้ปิง มันหลับตอนไหนแสดงว่าใกล้ถึงแล้ว
– จำได้ว่าชอบสองข้างทางช่วงพ้นตัวเมืองโคราชไปแล้ว ดูมันเป็นเมืองดี ไม่เหมือนช่วงก่อนเข้าเมือง มีแต่ป่า…ดูบรรยากาศของเขื่อนลำตะคอง โค้งสวยๆ
– จำได้ว่าแยกมิตรภาพที่จะเข้าพหลโยธินเดิมชื่อภาษาอังกฤษคือ Friendship (เก๋มาก…)
– จำได้ว่าเมื่อพ้นทางเข้าวงแหวนฝั่งตะวันตกแล้ว ก็เริ่มเห็นตัวเมืองมากขึ้นๆ
– แต่ก็จำไม่ได้สักทีว่านวนคร,โรงกษาปณ์,มธ.รังสิต อะไรมาก่อนกัน…
จริงๆ การสังเกตสองข้างทาง (รวมถึงการดูแผนที่) มันมีประโยชน์นะครับ
– เรื่องแรกคือ เป็นตัวช่วยเพื่อนๆ ได้ว่าตอนนี้อยู่ไหนแล้ว (โดยเฉพาะเวลาไปเที่ยว บางคนเล่นหลับตลอดทาง)
– เรื่องต่อมา มันเอามาประยุกต์ใช้ในกรุงเทพฯ ได้ครับ โดยเฉพาะเวลาขึ้นรถเมล์
เห็นป้ายบอกเส้นทางก็พอรู้ว่ามันวิ่งไปเส้นไหน เอาตัวรอดได้… (แต่ก็ไม่เข้าใจ ทำไมป้ายบอกเส้นทางรถเมล์บางสาย มันบอกเส้นทางน้อยมาก กลัวคนขึ้นมันรู้หรือไง!)
รถออกจากกรุงเทพฯ มาได้ 3 ชั่วโมงล่ะ เส้นทางที่ผ่านมันก็มากขึ้นๆ พร้อมกับเส้นทางและหมายเลขบนป้ายตราครุฑที่ได้จดจำและเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ว่าแต่ บางทีจะจำไปทำไมเนี่ย!
ปล.บล็อกนี้เขียนบนรถนี่แหละฮะ ว่างจัด ไม่หลับไม่นอน!
Tags: เดินทาง, เรื่อยเปื่อย
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรครับ เกิดความรู้สึกขัดแย้งภายในตนเองขึ้นมาซะอย่างนั้น…
จริงๆ ความขัดแย้งมันก็เกิดขึ้นมานานล่ะ เพียงแต่ไม่ได้สรุปออกมาเป็นตัวอักษรยาวๆ แบบนี้เท่านั้น
ไหนๆ ก็ไหนๆ ล่ะ เก็บไว้นานๆ มันก็จะระเบิดออก ก็ระบายทางนี้แล้วกัน (เผื่อให้คนมาด่าให้มันเกิดสติบ้าง)
ไล่มาเป็นข้อๆ เลยดีกว่า
คือมันเกิดความรู้สึกที่ว่า เพื่อนตอนมัธยม กับเพื่อนตอนมหาลัย มันมีพฤติกรรมที่แสดงออกไม่เหมือนกัน
ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออกไปต่อกลุ่มเพื่อนทั้งสองมันแตกต่างกัน (เกือบๆ สิ้นเชิง)
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่ให้เกียรติชาวบ้านนะครับ แต่ว่าพอการกระทำมันไม่เหมือนกัน แล้วมันรู้สึกขัดๆ ตัวเอง ไม่เข้าใจเหตุผล
จะบอกว่ากลุ่มเพื่อนที่คบมันอยู่ต่างช่วงอายุกัน อันนี้ก็อาจมีส่วน แต่การแสดงออกบางอย่างมันไม่เกี่ยวกับอายุหนิ
หรืออาจเพราะความสนิทกับกลุ่มเพื่อนทั้งสองกลุ่มมันต่างกัน? การแสดงออกเลยไม่เหมือนกัน?
น่าคิดนะ…
(พิมพ์ถึงเรื่องนี้พาลให้คิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนที่เหมือนต่างกันไป เหมือนไม่ได้เป็นเพื่อนกันเพราะนิสัยหรือบุคลิก การพูดคุย แต่เป็นเพื่อนกันเพราะผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า)(เหมือนว่าเพื่อนที่พบเจอ คุยกันได้ไม่สนิทใจเหมือนเก่า?)
คงเป็นที่ความอิจฉา อยากได้อยากเป็นด้วย
หรืออาจจะเป็นเหตุผลเรื่องความเคารพ ที่รุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ (แต่แม่งอายุเท่ากูเนี่ยนะ ทีเพื่อนอายุมากกว่ามึงกูยังเป็นเพื่อนมันได้เลย…)
บางคนก็บอกว่าอายุไม่สำคัญเท่าวุฒิภาวะ มันก็จริง แต่จะเอาอะไรล่ะวัดวุฒิภาวะ ไม่มีอะไรที่เป็นมาตรฐานได้เลย
อาจเป็นเพราะยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องอายุมากเกินไปล่ะมั้ง (ด้วยความคิดที่ว่า บ้านเมืองเราเอาอายุเป็นเกณฑ์ในการทำอะไรหรือไม่ทำอะไรนี่หว่า…)
และนี่แหละครับ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไม่อยากซิ่ว…
ตอนนี้มี 2 เรื่องหลักๆ นี่แหละที่ยังขัดแย้งในใจ หาคำตอบแน่นอนไม่ได้จริงๆ
จะมีใครมาตีหัวให้ผมคิดได้บ้างครับ?
Tags: มหาวิทยาลัย, เพื่อน
ช่วงฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ใครที่ติดจานดาวเทียมที่รับสัญญาณระบบ C-Band (จานดำ) คงจะจำกับกรณีจอมืดได้
หลังจากกรณีนั้น ก็เหมือนว่าทุกรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลที่ฉายทางฟรีทีวีจะเริ่มตระหนักถึงกรณีนี้ โดยบล็อกสัญญาณมันทุกรายการเลย ทั้ง Euro U-21 , Women’s World Cup , Copa América , U-17 World Cup ทำเอาคนดูจานดำเซ็งถ้วนหน้าที่ต้องเจอจอฟ้าบ้าง จอเขียวบ้าง โอ้…
แต่กระนั้น ยังมีรายการฟุตบอลรายการหนึ่งที่ยังไม่ถูกบล็อก ไม่รู้ว่าเขาคิดไม่ถึงหรือเขาจงใจ
นั่นก็คือ UEFA Champions League ที่ฉายทางช่อง 3 กับ 7 นี่แหละ
ฤดูกาลที่แล้ว (2010-2011) คนติดจานดำก็ได้ดูกันถ้วนหน้า (ยังจำได้ว่ายังช้ำใจกับนัดชิงอยู่…)
แต่ไม่แน่ใจว่าฤดูกาลนี้ เขาจะระลึกชาติได้ แล้วก็ทำการบล็อกสัญญาณหรือเปล่า…
หวังว่าเขาคงคิดไม่ถึงหรอก คนติดจานดำจะได้ดูได้ ไม่ต้องมานั่งเซ็งดูจอเขียวๆ ฟ้าๆ แทนที่จะได้ดูบอลนะ…
ปล.ตั้งแต่ย้ายมานอนที่ใหม่ เดิมที่มีเคเบิลดูสบายๆ ก็เหลือแต่จานดาวเทียมธรรมดา กับติดทุยวิชั่ว ซึ่งแพงฉิ_หายเลย…จะติดเคเบิลท้องถิ่นก็ไม่ได้ เพราะเขาเลือกทุยไปแล้ว
ปล2.เดี๋ยวแม่ซื้อกล่องความฝันมาใช้ซะเลย ฮี่ๆ
Tags: จานดาวเทียม, ฟุตบอล, เคเบิล
ความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่มันบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
มันตีกันไป ตีกันมา ขันแย้งกันเองแบบแปลกๆ
– อยู่ท่ามกลางคนมากๆ ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ แต่ก็อยากแยกตัวออกมาคนเดียว
ทั้งๆ ที่ก็ก็อยากทำกิจกรรมอยู๋กับเขา สนุกไป
ผลคือ ก็เข้าไปอยู่ในวงนั้นนั่นแหละ แต่ใจรู้สึกว่าอยู่คนเดียวในนั้น
– คิดว่าทำไมตัวกูเหมือนก้อนหินริมทาง ไม่มีใครสนใจมาเหลียวแล
ทั้งๆ ที่จริงๆ แค่เข้าไปคุยด้วยกับเขานิดหน่อย ก็ไม่รู้สึกอย่างนี้แล้ว
– เห็นคนอื่นเขามีกิจกรรมกันน่าประทับใจ หรือน่าสนุก แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิทำสิ่งนั้น แล้วก็คิดไปว่าไม่ต้องทำหรอก ไม่เป็นอะไรหรอก
ทั้งที่จริงๆ กูก็อยากที่จะทำ และเขาก็พร้อมที่จะให้ในสิ่งๆ นั้น แค่กูเข้าหาเขาก่อนแค่นั้น
ผลคือ ได้แต่ดูคนอื่นเขาประทับใจกัน ส่วนกูก็ยืนอยู่เงียบๆ เฉยๆ ในวงนั้น แต่รู้สึกเหมือนยืนอยู่คนเดียว
เหมือนจะรู้สึกดีที่เป็นแบบนี้ แต่ว่าจริงๆ เศร้าชะมัด…
เกริ่น
สถานที่เกิดเหตุ
(ส)ภาพรถ
จากทวิตเตอร์
ปัญหาคือ ชาวบ้านก็รู้ว่ามีปัญหาคนเดินออกมา เกิดอุบัติเหตุก็หลายที แต่ไม่คิดจะมีมาตรการป้องกัน? # ตำรวจก็มาตั้งหลายรอบนะ งงๆ เหมือนกันว่ามาทำไปตั้งหลายรอบ (รอบแรกสงสัยผ่านมาเห็น เขาบอกว่าต้องไปอีกที่ ได้รับเหตุมา) # แต่ต้องชมว่า รถพยาบาลมาเร็วดีนะครับ (แต่ก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาล แค่ทำแผลนิดหน่อย) # ต่อมาตำรวจก็มา แล้วก็เหมือนมีดีเจผ่านมา เขาบอกว่าปกติช่วงนี้มีคนตายอย่างน้อยเดือนละคนสองคน… (มึงพูดเพื่ออะไรวะ?) # ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ ชาวบ้านมาดูแล้วก็บอกว่า “ไอ้นี่อีกแล้วเหรอ มันเป็นคนบ้าชอบเดินข้ามถนน ตอนกลางวันเกือบโดนสิบล้อชนไปแล้ว” # ดีแล้วนะที่กูไม่นอน (ปกติกูจะนอนราบไปกับเบาะหลัง เอาหัวหนุนกระเป๋า) ถ้ากูนอนท่าทางกูไม่รอด # ว่าไป ค่าหมอนี่ฟาดไปพันเจ็ด…ถ้าไม่ทำประกันกูก็ไม่เข้าขอนแก่นรามหรอกค่ะ… # ภาพรถคว่ำเมื่อคืน (3) http://picplz.com/Vwkw # ภาพรถคว่ำเมื่อคืน (2) http://picplz.com/VwkM # ภาพรถคว่ำเมื่อคืน (1) http://picplz.com/Vwkf # แหม ได้เจอเรื่องตื่นเต้นต้อนรับการกลับบ้านเลยทีเดียว # กลับมาจากโรงพยาบาลล่ะ… # รอตรวจเกือบครึ่งชั่วโมง # ตอนนี้กำลังจะไปโรงพยาบาล (แบตก็จะหมดแล้ว ทวีตต่อไม่ได้ล่ะ…) # อุบัติเหตุ รถคว่ำตรงนี้ ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก # อ้าก รถคว่ำ! #
เพิ่มเติม
ข้อคิด
Tags: อุบัติเหตุ
อ่านจากข้างล่างขึ้นข้างบน