msgbartop
เรื่อยๆ เปื่อยๆ กับ kasemsakk
msgbarbottom

17 พ.ค. 12 ข้อดีและข้อเสียของชุดนิสิตปี1 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เข้าสู่ฤดูเปิดเทอมใหม่ทีไร ก็เป็นฤดูกาลของการพูดถึงระเบียบเครื่องแต่งกายสำหรับนิสิตชั้นปีที่ 1 ทุกครั้ง (ซึ่งมันก็น่าเบื่อนะ) แต่ก็ทำยังไงได้ ในเมื่อคณะของเรายังมีอะไรที่ไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขาอยู่

 

มานั่งไล่ข้อดี – ข้อเสียเลยดีกว่า…

ข้อดี

  • เป็นเอกลักษณ์ ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นเด็กนิเทศฯ (อาจมีประโยชน์เมื่อพบเจอในสถานที่อื่นๆ นอกเหนือคณะ)
  • ดูเรียบร้อย มิดชิด ไม่โป๊
  • ถูกข้อบังคับมหาวิทยาลัย ไม่มีปัญหาเมื่อไปคณะอื่น

ข้อเสีย

  • จากอดีตที่ผ่านมา มักมีอุบัติเหตุกับผู้หญิง เนื่องด้วยกระโปรงที่ “ยาว” เกินไป เช่น การขึ้น-ลงรถประจำทาง หรือเดินเหยียบกระโปรงตัวเอง (ถึงแม้จะอ้างว่ากระโปรงสั้นขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เหยียบกระโปรงอยู่ หรือว่าจะต้องมีคนตายเพราะเรื่องแบบนี้ก่อนถึงจะคิดได้?)
  • เปลืองค่าใช้จ่ายเพราะเมื่อขึ้นปี2 เป็นต้นไป ต้องซื้อทั้งเสื้อ-กางเกง-กระโปรงใหม่หมด (อย่าเถียงว่าใส่ชุดเก่าได้ ในเมื่อช่วงเปิดเทอมก็มีกฎบ้าๆ บอๆ ออกมาหนิ! แล้วความเป็นจริงมีใครอยากใส่ชุดเก่าๆ หลวมๆ ไหม?)
    • ในเมื่อทุกคนอยากใส่เสื้อพอดีตัว แล้วจะมาบังคับให้เสียเงินหลายต่อทำไม?
  • ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วยการบังคับที่ “มากเกินไป” เช่น ห้ามพับแขน ผูกไทด์ตลอดเวลา
    • ถ้าร้อนมากๆ กูต้องทนด้วยเรอะ?
    • หรือสถานการณ์ที่ต้องทำงานที่เลอะเทอะ (เช่น ทาสี หรือกินข้าว) ต้องดั้นด้นหาชุดไปเปลี่ยนเพื่อทำภารกิจนั้นๆ มันจำเป็นด้วย? (แถมเปลืองค่าซักผ้าเพิ่มอีก โดยเฉพาะคนที่อยู่หอและจ้างซํกผ้าที่นับชิ้นผ้าต่อเดือน)
  • เกิดความแตกต่างกับคณะอื่น ทำให้เกิดการเปรียบเทียบและแปลกแยก (อันนี้อาจไม่เป็นข้อเสียชัดเจน แต่อาจจะมี)

สรุป

  • ทำไมต้องบังคับเฉพาะเด็กปี1 ให้แต่งกายถูกระเบียบ (ที่ตัวเองตั้ง)
  • ระเบียบกลางของมหาวิทยาลัยก็มีแล้ว ทำไมต้องบังคับให้เข้มงวดมากเฉพาะปี1 แต่กลับหย่อนยานกับเด็กปี2 ขึ้นไป ข้อบังคับไม่ได้เขียนนะครับว่าใช้บังคับเฉพาะปี1 (แถมเขาจะเล่นงานเด็กปี2 ขึ้นไปมากกว่าอยู่แล้ว!)
  • ความเป็นเอกลักษณ์ของนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ในเรื่องเครื่องแต่งกาย ควรมีเฉพาะปี1 เท่านั้นหรือ? ปี2 ขึ้นไปจะใส่เดป เสื้อรัดรูป ปล่อยลอยชาย กระโปรงสั้น หรือใส่ยีนส์มาก็ไม่เป็นอะไร?
  • จะบอกว่าเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นเด็กคณะเรา บางทีมันก็แทบไม่มีประโยชน์เมื่อรู้เลยนะครับ เราต้องการอะไรจากการแต่งกายแบบนี้หรือ?
  • แทนที่จะบังคับเด็กปี1 อย่างเดียว ก็น่าจะเตือนเพื่อนๆ หรือรุ่นพี่บ้างนะครับ อย่าให้เด็กมันตอกกลับแล้วจะกลับบ้านไม่ถูกนะเออ
  • อีกอย่าง เวลาไปสอบแล้วโดนคณะอื่นจับเรื่องเครื่องแต่งกายนี่ อย่าเอากฎคณะเราไปอ้างนะฮะ อายเขา…
  • หรือถ้าอยากเอาไปอ้างจริงๆ บอกคณะให้ออกประกาศมาสิครับ จะได้เอาประกาศที่มีลายเซ็นคณบดีไปสู้ได้ ไม่งั้นเสียสิทธิ์เรานะครับ!

Tags: , ,

01 มิ.ย. 11 จิตอาสากับการสำเร็จการศึกษา : รูปธรรมหรือของเล่นชิ้นใหม่

“จุฬาฯ ตั้งเป้า 2 ปี สู่ ม.สร้างเสริมสุขภาพ บังคับปี 1 ทำกิจกรรมอาสา บันทึกลงทรานสคริปต์”

“จุฬาฯ ตั้งเป้า 2 ปีสู่ “มหา’ลัยสร้างเสริมสุขภาพ” เต็มตัว อธิการฯ เผย ปีหน้านิสิตปี 1 ทุกคน ต้องเน้นกิจกรรมอาสา อย่างน้อย 10 ชั่วโมง/ปี เป็นเวลา 3 ปี บันทึกลงทรานสคริปต์ หวังกระตุ้นการมีจิตสำนึก+จิตอาสา เตรียมถกหามาตรการหากนิสิตไม่ปฏิบัติตาม จะไม่ให้จบการศึกษาหรือไม่”

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000006624

————————————————————————————————————————————————-

นี่คือหัวข้อข่าวจากเว็บไซต์ข่าวเว็บหนึ่ง ที่ระบุว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะนำเรื่องของการทำกิจกรรม “จิตอาสา” มาบังคับใช้กับนิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี ในปีการศึกษา 2554 โดยจะต้องทำกิจกรรมที่เป็นกิจกรรมอาสา จำนวน 10 ชั่วโมง/ปี เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีการระบุว่ารูปแบบของกิจกรรมจะเป็นการรวมกลุ่มกับเพื่อน หรือคณะ หรือมหาวิทยาลัย มีการบันทึกลงในเมื่อสำเร็จการศึกษา

โดยทางอธิการบดีจุฬาฯ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล ได้ให้ความเห็นว่า “การบันทึกความดีลงทรานสคริปต์จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการไปสมัครงาน ซึ่งจะทำให้นายจ้างเห็นได้ว่านิสิตนอกจากจะขยันเรียนแล้ว ยังทำประโยชน์ให้แก่สังคมด้วย เพื่อให้สมกับเกียรติภูมิจุฬาฯ คือ เกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าจะเป็นปีแรกในการดำเนินการ หากนิสิตคนใดไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่กำหนดก็อาจจะยังไม่มีการดำเนินการ อะไร แต่จากการหารือร่วมกับคณบดีคณะต่างๆ ในเบื้องต้น มีบางรายได้เสนอว่าหากไม่ถึงอาจจะไม่ให้จบการศึกษา แต่ประเด็นนี้จะเป็นข้อสรุปหรือไม่คงต้องหารือกันต่อไป”

ฟังดูแล้วคำว่า “จิตอาสา” เหมือนจะเป็นคำใหม่ที่ดูแปลกหูสำหรับคนไทย และถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย (เหมือนกับคำว่า “โลกร้อน” และ “พอเพียง” ที่ถูกนำมาใช้เป็นกระแส จนอาจถูกบิดเบือนความหมายออกไป)

แต่เมื่อมองดูแล้ว “จิตอาสา” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อย่างที่หลายๆ คนคิด แต่มันก็คือการทำกิจกรรมที่ผู้ทำลงไปเป็น “อาสาสมัคร” หรือการ “ทำความดี” นั่นเอง

หากจะอ้างอิงความหมายของ “จิตอาสา” หรือ “อาสาสมัคร” ก็อยากจะอ้างถึงวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ที่ให้ความหมายไว้ว่า “การมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น” และ “การใช้แรงงานและกายทำเพื่อส่วนรวม”

กิจกรรมจิตอาสา หรืออาสาสมัครก็มีให้เห็นอยู่มากมายหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่นในกรณีที่มีเหตุด่วนเหตุร้าย หรือภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้น ก็จะพบกับกับกิจกรรมเหล่านี้ เช่น การบริจาคโลหิตเมื่อมีข่าวการขอรับ การลงไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในเหตุภัยพิบัติต่างๆ หรือการแจ้งเบาะแสของโจรผู้ร้ายให้แก่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง

หรือการทำความดีเล็กๆ น้อยๆ เช่นการช่วยจูงเด็กหรือผู้สูงอายุข้ามถนน การให้ที่นั่งผู้อื่นบนรถโดยสาร การทิ้งขยะลงถังก็ถือเป็นการทำความดีเช่นกัน

ล่าสุดที่จุฬาฯ จะนำเอาเรื่องการนับชั่วโมงกิจกรรมมาใช้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในนโยบายที่ทางผู้บริหารต้องการให้นิสิตที่จบออกไปนั้นมีคุณภาพ มีการทำประโยชน์แก่สังคมในด้านต่างๆ

————————————————————————————————————————————————-

เมื่อมามองในกรณีที่จุฬาฯ จะนำการเก็บชั่วโมงกิจกรรมมาใช้ แน่นอนว่าในทางทฤษฎีนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของตัวนิสิต รวมไปถึงมหาวิทยาลัย

แต่ในทางปฏิบัติ ยังพบข้อปัญหาอีกหลายประการที่จะต้องหาแนวทางในการจัดการให้เป็นมาตรฐานได้

1. การนับจำนวนชั่วโมงกิจกรรม

จุฬาฯ ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการทำกิจกรรมค่อนข้างมาก ทั้งกิจกรรมของมหาวิทยาลัย กิจกรรมคณะ การรวมกลุ่มของนิสิตด้วยกันเองในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมของนิสิตที่ทำในนาม “สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

– การกำหนดชั่วโมงในแต่ละกิจกรรมจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นหากไปทำค่ายพัฒนาชุมชน 9 วัน จะได้จำนวนชั่วโมงเท่าใด หากทำกิจกรรมภายในคณะ จะนับเป็นชั่วโมงกิจกรรมหรือไม่ หรือแม้กระทั่งไปร่วมงานที่ทางสโมสรนิสิตฯ เป็นผู้จัด จะได้จำนวนชั่วโมงเท่าใด

– จากด้านบน จะให้หน่วยงานใดเป็นผู้กำหนดจำนวนชั่วโมงกิจกรรม จะให้ทางผู้บริหาร คณบดี อาจารย์ หรือนิสิตด้วยกันกำหนดจำนวนชั่วโมงที่จะได้รับ และจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจำนวนชั่วโมงที่ได้รับนั้นเหมาะสมแล้ว

2. ประเภทของกิจกรรม

กิจกรรมประเภทสันทนาการที่จัดขึ้น เช่น กิจกรรมรับน้อง กิจกรรมสำรวจจุฬาฯ หรือกิจกรรมที่เป็นงานพิธีต่างๆ เช่น พิธีรับปริญญาบัตร พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนฯ ซึ่งไม่มีลักษณะของการเป็นกิจกรรมอาสา จะมีการนับจำนวนชั่วโมงหรือไม่

รวมทั้งหากเป็นกิจกรรมอาสา แต่ไม่ได้มีการรวมกลุ่มของนิสิตกันไป (ไปทำคนเดียว) จะถือว่าเป็นการทำกิจกรรมอาสาและได้นับจำนวนชั่วโมงหรือไม่

3. มาตรการในการควบคุมการปฏิบัติ

การให้สัมภาษณ์ของอธิการบดี ได้มีการกล่าวถึงการประชุมคณบดี ซึ่งมีคณบดีบางท่านได้ให้ความเห็นว่าอาจมีมาตรการถึงขั้นไม่ให้จบการศึกษาหากปฏิบัติไม่ครบจำนวนชั่วโมง

นี่กลายเป็นว่าการทำ “กิจกรรมอาสา” หรือ “จิตอาสา” ต้องเป็นการบังคับกันแล้วหรือครับ?

ชื่อกิจกรรมก็บอกแล้วว่าเป็น “จิตอาสา” แต่มีการบังคับว่าต้องทำให้ได้เท่านั้นเท่านี้ ดูแล้วมันแปลกๆ นะครับ

และหากมีการกำหนดชั่วโมงออกมา จะมั่นใจได้อย่างไรว่านิสิตได้ไปทำกิจกรรมจริงๆ มีประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ ไม่ได้เป็นการทำไปเพื่อหวังชั่วโมง ทำแบบผ่านๆ ไปให้มันพ้นๆ ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง

4. Activity Transcript

ก่อนหน้าที่จะมีการกำหนดนโยบายเรื่องจิตอาสา จุฬาฯ ก็มีการบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ ของนิสิตในรูปของ Activity Transcript (A.T.) ซึ่งเมื่อมองแล้วอาจจะบอกได้ว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ไม่ทั่วถึง (นิสิตบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และมันมีด้วยหรือ) และประโยชน์ในการนำไปใช้ยังไม่ค่อยมีมากนัก

จึงเป็นที่น่าตั้งคำถามว่า มาตรการเดิมก็มีแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ จะนำมาตรการใหม่มาใช้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หากมีแนวทางในการปฏิบัติเช่นเดิม

————————————————————————————————————————————————-

หากมองดูแล้ว การนำมาตรการชั่วโมงกิจกรรมมาใช้ในการสำเร็จการศึกษานั้น มองดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ดี

แต่หากกมองอีกมุมหนึ่ง เรื่องของการทำกิจกรรมอาสา เป็นเรื่องของ “จิตสำนึก” ของแต่ละบุคคลที่พึงจะปฏิบัติอยู่เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

หากมีการ “ปลูกจิตสำนึก” ในเรื่องของการทำกิจกรรม “จิตอาสา” เป็นพื้นฐานของนิสิตแล้ว ไม่ต้องมีสิ่งใดๆ มาบังคับหรอกครับ ทุกคนก็พร้อมทีจะปฏิบัติอยู่แล้ว

แต่หากใช้การบังคับ จะมั่นใจได้อย่างไรว่ากิจกรรมที่พวกเขาทำนั้น เป็นกิจกรรม “จิตอาสา” ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง

ไม่เช่นนั้น มันก็อาจเป็นเพียง “ของเล่นชิ้นใหม่” สำหรับผู้บริหารในการสร้างภาพให้ดูดีเท่านั้นเอง…

Tags: ,

19 ต.ค. 10 ชุดนิสิต

ตอนช่วงปี1 ก็จะมีคำพูดของรุ่นพี่ปีอื่นๆ คอยบอก กรอกหูอยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงต้นเทอม ย้ำแม่งอยู่ตลอดนั่นแหละ (โดยเฉพาะช่วงห้องเชียร์) ว่า

“แต่งกายให้ถูกระเบียบตลอดปีการศึกษา”

มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ ที่จะให้นิสิตแต่งกายถูกต้อง

เพราะการแต่งกายที่ถูกต้อง ก็ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และผู้สวมใส่ก็จะดูสง่า เกิดเป็นราศีแก่ตัวเอง

แต่ปัญหามันก็มีอยู่นิดหน่อย เช่น

  • ย้ำแต่ปีหนึ่งอยู่นั่นว่าให้แต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบ โดยเฉพาะคำพูดที่ชอบเอามาอ้างว่า “เครื่องแบบพระราชทาน” นำมาใช้ซะบ่อย เพื่อเพิ่มน้ำหนักแก่คำสั่งของตัวเอง
  • จากข้อแรก เมื่อไปลองดูนิสิตปีอื่นๆ ก็อาจจะพบกับการแต่งตัวที่ถูกระเบียบมาก…เสื้อออกนอกกางเกงบ้างล่ะ ขาเดปบ้างล่ะ เสื้อเข้ารูปบ้างล่ะ กระโปรงสั้นๆ บ้างล่ะ
  • เมื่อไปดูในข้อบังคับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยเครื่องแบบ เครื่องหมาย และเครื่องแต่งกายของนิสิต พ.ศ.๒๕๕๓ ก็จะพบว่าข้อบังคับนี้ใช้บังคับกับนิสิตทุกคณะ ทุกชั้นปี (โดยเฉพาะในระดับปริญญาบัณฑิต) แต่ทำไมมาเข้มงวดแต่กับปี1?
  • หรือจะบอกว่าปี1 เพิ่งเข้ามาใหม่ ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบ แล้วยังไงครับ? ขึ้นปี2 มาจะบอกว่าปรับตัวเข้ากับระเบียบได้แล้ว จะแต่งตัวห่าเหวยังไงก็ได้อย่างนั้นเหรอครับ?
  • อีกอย่าง ตามข้อบังคับด้านบน ถ้าแต่ละคณะจะมีเครื่องแบบที่แตกต่างหรือมีเครื่องแบบพิเศษ ก็ให้ออกมาเป็นระเบียบคณะ (ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะออกมารองรับพวกเสื้อช็อป เสื้อกาวน์ อะไรประมาณนี้) แต่ทำไมไม่เห็นทางเว็บจุฬาฯ หรือในราชกิจจานุเบกษาลงประกาศเรื่องนี้สักนิดเลย ต้องไปหาอ่านที่ไหน?
  • ไม่แน่ใจด้วยว่าระเบียบด้านบน รองรับถึงเครื่องแบบนิสิตปกติที่แต่ละคณะจะบังคับด้วยหรือเปล่า ถ้ารองรับด้วยทำไมไม่มีประกาศของแต่ละคณะออกมาล่ะ? มีแต่กฎหมู่ของรุ่นพี่ออกมาใช้บังคับอยู่นั่นแหละ…

หวังว่าคงจะหาคำตอบของปัญหาเหล่านั้นได้นะ…

Tags: ,

17 ก.ค. 10 เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับนิเทศศาสตร์รุ่นที่ 46

ว่างๆ (แหม ว่างจังนะมึง) เลยลองรวบรวมรายชื่อเพื่อนๆ มาเก็บไว้ดู

หลังจากทำก็เก็บสถิติได้หลายอย่างเลย

(สถิติที่เก็บมานี้อ้างอิงจากข้อมูลที่รวบรวมจากผลการคัดเลือกของ สอท. ไม่รวมของโครงการจุฬาฯ ชนบทและพัฒนากีฬาชาติ ดังนั้นข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง 100% แต่ก็เชื่อถือได้อยู่หรอกน่า)

  • ปีนี้มีนิสิตใหม่ระดับปริญญาตรีระบบทวิภาค (ภาคไทย) 164 คน ทวิภาค-นานาชาติ (ภาคอินเตอร์) 82 คน (อ้างอิงจาก สทป.สาร)

(ข้อมูลหลังจากนี้จะเป็นข้อมูลของภาคไทยทั้งหมด เพราะกูไม่มีผลของภาคอินเตอร์นะจ๊ะ)

  • นิสิตปีนี้มาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามากที่สุด (27 คน) ตามมาด้วยสตรีวิทยา (9 คน) มาแตร์เดอีวิทยาลัย (8 คน)

ตารางแสดงจำนวนโรงเรียนที่มีนักเรียนผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ในระบบทวิภาคมากกว่า 1 คน

    โรงเรียน จำนวน (คน)
    เตรียมอุดมศึกษา 27
    สตรีวิทยา 9
    มาแตร์เดอีวิทยาลัย 8
    เซนต์โยเซฟคอนเวนต์
    ปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
    สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    5
    เบญจมราชาลัย
    ราชินีบน
    หาดใหญ่วิทยาลัย
    4
    จิตรลดา
    เทพศิรินทร์
    บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
    ราชินี
    ศึกษานารี
    สาธิตมศว. ปทุมวัน
    อัสสัมชัญคอนแวนต์
    3
    นวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
    นวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา
    โพธิสารพิทยากร
    โยธินบูรณะ
    วัฒนาวิทยาลัย
    สตรีวิทยา ๒
    สาธิตมศว. ประสานมิตร
    สารวิทยา
    อัสสัมชัญศรีราชา
    2

สังเกตได้ว่าโรงเรียนหญิงล้วนเขามาแรงจริงๆ นะ ทั้งสตรีวิทย์ มาแตร์ เซนต์โย ราชินีบน ราชินี ศึกษานารี อัสสัมชัญคอนแวนต์ วัฒนา แล้วเทียบกัยโรงเรียนชายล้วน หลุดมาเท่าไหร่กันเชียว (ส่วนเตรียมนี่ก็เหมือนโรงเรียนหญิงล้วนละ ในนี้มีผู้หญิงไปแล้ว 23 เหลือ “เพศ”ชาย 4 (ชายแท้ไม่แท้ไม่ทราบได้)

เอ กูลืมไป ช ญ ล้วนใช่ว่าจะเป็น ช ญ แท้นี่หว่า…

  • ในปีนี้มีนิสิตที่ไม่ได้จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปี 2552 อยู่ 9 คน (จบปี 2551 8 คน ปี 2550 1 คน)
  • ชื่อเล่นที่มีคนใช้ซ้ำมากที่สุดคือ แนน,มิ้น (3 คน) เจมส์,บอส,บี,พิม,พีท,เฟิร์น,มิ้ม,เอิร์ท (2 คน) (นับจากเสียงนะจ๊ะ เพราะบางคนมันสะกดแปลกๆ เยอะแยะ)
  • ตัวอักษรขึ้นต้นของชื่อจริงที่ซ้ำมากที่สุดคือ อ (18 คน) ก (16 คน) พ (15 คน) ส,ว,ธ (12 คน) จ (10 คน) ช,ณ,ป (8 คน) ภ,ร (7 คน)
  • ในปีนี้มีนิสิตที่ผ่านเข้าศึกษาในระบบรับตรงเพียง 3 คน (รับสูงสุด 10 คน)

เอาเป็นว่าพอแค่นี้ดีกว่า ชักหมดไอเดียที่จะมาเล่นล่ะ…

ถ้าอยากรู้สถิติอะไรเพิ่มเติมก็บอกได้นะเออ เผื่อจะไปนั่งหามาให้…

ว่าแต่ จะสอบ Exp Eng วันที่ 24 แล้วนี่หว่า ทำไมกูยังไม่เตรียมพร้อมอีกวะ?

Tags: , ,

06 ก.ค. 10 พล่ามฉลอง 1 เดือน

เอาล่ะ ไม่ได้เขียนบล็อกมาซะนาน…

ไหนๆ ก็จะครบ 1 เดือนในการเรียนที่สถานศึกษาแห่งใหม่ (ที่แสนจะไกลบ้าน) ก็อยากจะเขียนความรู้สึกที่ผ่านมาตลอดช่วงที่ผ่านมาเลยแล้วกัน

– ตั้งแต่ First Date , สัมภาษณ์ , รับน้องปิ๊ดปิ้ว , เปิดเทอม , ห้องเชียร์ , ทำละคร ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น ได้คุยมากขึ้น (ถึงแม้บางคนก็ไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม)

– ช่วงเวลาแย่ๆ ห่วยๆ ก็ผ่านมาแล้ว ทั้งช่วงห้องเชียร์ (ห้องเชี่ย) ที่บรรยากาศภายในจะบิ้วท์ไปทำซากมะเขืออะไร ไม่เข้าใจจริงๆ มึงสั่งดีๆ กูก็ทำได้ ห่าน!

– กิจกรรมต่างๆ ทั้งคิดท่าเต้นรุ่น , เปิด-ปิดกีฬาเฟรชชี่ รวมทั้งกิจกรรมที่พี่จัดให้ทั้ง เปิดสายปีสอง , รับน้องปีสาม-ปีสี่ ก็ทำให้สนิทสนม(?) กับรุ่นพี่มากขึ้น

– แต่ยังไงๆ อารมณ์เดิมๆ ก่อนที่จะเข้ามาในคณะ กับอารมณ์ตอนนี้ที่ยังเป็นอยู่ก็ยังเหมือนเดิม เบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากเจอหน้าคนบ้างในบางเวลา

– รู้สึกที่กูเขียนมานี่ไม่มีสาระอะไรเลยแฮะ…

– จบล่ะ เดี๋ยวเอาไว้เขียนต่องวดหน้าที่มีอารมณ์ดีกว่า…

ปล.งวดนี้ไม่มีรูปนะจ๊ะ
ปล2.รูปงานต่างๆ ที่ถ่ายมามีเยอะ แต่ขี้เกียจอัพนะจ๊ะ
ปล3.กูเกลียด Exp Eng!

Tags: ,

04 มิ.ย. 10 อนาคตกางเกงพิธีการ?

บังเอิญว่ายังติดใจกับการแต่งกาย (และยังฉุนกับเรื่องว้าก)
 
ก็เลยลองนั่งหาระเบียบการแต่งกายของจุฬาฯ ไปเรื่อยๆ
 

 
ก็เลยลองเข้าไปดู แล้วก็รู้สึกติดใจกับข้อความนี้…
ข้อ ๖ เครื่องแบบปกติ สำหรับนิสิตชาย
(๑) เสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่มีลวดลาย ไม่รัดรูป กระดุมสีขาว ความยาวของเสื้อให้เลยเอว ให้ใส่ชายเสื้อไว้ในกางเกงตลอดเวลา
(๒) กางเกงขายาวแบบสากล ทำด้วยผ้าสีกรมท่าหรือสีดำ ไม่มันแวววาว ไม่มีลวดลาย ห้ามใช้ผ้ายีน ผ้าสักหลาก ผ้าลูกฟูก
(๓) ถุงเท้าสีดำ สีน้ำตาลเข้ม หรือสีกรมท่า
(๔) รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ ไม่เปิดหัวรองเท้า
(๕) เข็มขัดหนังสีดำ ขนาดกว้างสามเซนติเมตร หัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีเงินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้างสามจุดห้าเซนติเมตร ยาวห้าเซนติเมตร ดุนเป็นตราพระเกี้ยว ตามแบบของมหาวิทยาลัย
(๖) อาจผูกเนคไทมีตราพระเกี้ยว ตามแบบของมหาวิทยาลัย
 

ข้อ ๑๐ เครื่องแบบงานพิธีการ สำหรับนิสิตชาย
มีลักษณะเช่นเดียวกับเครื่องแบบปกติของนิสิตชาย โดยให้ผูกเนคไทมีตราพระเกี้ยวตามแบบของมหาวิทยาลัย

จากกฎที่เขียน ก็แสดงว่ากางเกงพิธีการ (สีขาว) ไม่มีบัญญัติไว้ในข้อบังคับนี้!
 
แล้ววันถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ที่ผ่านมา กางเกงขาวนั่นก็ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับนี้สิ!
 
แล้วอนาคตของกางเกงขาว ที่กูเพิ่งซื้อมานั้นจะเป็นอย่างไร?
 
คงต้องติดตามประกาศที่อาจออกมารองรับต่อจากข้อบังคับนี้อย่างใกล้ชิด!
 
ปล.สำหรับนิสิตหญิงก็มีกฎเหมือนกัน แต่กูขี้เกียจพิมพ์ ลองไปอ่านเองแล้วกัน…

Tags: